หยางเหมย (Yangmei) หรือ ยัมเบอร์รี่ (Yumberry) มีชื่อทางพฤษศาสตร์ว่า Myrica rubra อยู่ในวงศ์ Myrica rubra นอกจากนั้นแล้วยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ อีก เช่น เรด เบย์เบอร์รี่ (Red Bayberry) แว๊กซ์ เบอร์รี่ (Waxberry) เอี่ยบ๊วย และในญี่ปุ่นเรียกว่า ยามาโมโม (yamamomo) มีถิ่นกำเนิดจากประเทศจีน จึงเรียกกันตามชื่อภาษาจีน แต่ปัจจุบัน มีการขยายพันธุ์พืชไปยังประเทศอื่นๆที่มีอากาศหนาวเย็นแล้ว เช่น ไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลี และไทย มีปลูกกันมากในภาคเหนือ เป็นต้น มีคุณประโยชน์และสรรพคุณ ทางยาหลายอย่าง ใช้นำมาเป็นผลไม้รับประทาน ใช้ทำเป็นเครื่องดื่มต่างๆได้
(ก) ยางเหมยผลสีแดง (ข) หยางเหมยผลสีม่วงเข้มเกือบดำ
รูปที่ 1 ผลหยางเหมย แบบ (ก) สีแดง และ (ข) สีม่วงเข้มเกือบดำ (ภาพจากอินเทอร์เน็ต)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง มีทรงพุ่มขนาดกลาง แตกกิ่งก้านเป็นพุ่ม ลำต้นมีลักษณะกลมๆ เนื้อไม้แข็งเหนียว มีสีเทาอมน้ำตาล มีความสูงเมื่อโตเต็มที่อยู่ที่ประมาณ 10-20 เมตร เปลือกของลำต้นมีสีเทาเรียบ เป็นพืชที่มี 2 เพศแยกกันคนละต้น (Dioecious) ทนต่อสภาพดินที่เป็นกรด
ราก เป็นระบบรากแก้ว รากลึก 5-60 เซนติเมตร ลักษณะกลมๆแทงลงในดิน มีรากแขนงและรากฝอยเล็กๆ ออกตามแนวราบ สีน้ำตาล
ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงอยู่เป็นช่อ มีห้าใบตรงปลายยอด สีเขียวลักษณะรูปไข่ ยาวรี ขอบใบเรียบ ก้านใบยาว
ดอก ออกดอกเดี่ยว อยู่เป็นกระจุก ลักษณะรูปแตร กลีบดอกมีสีขาว เกสรเป็นเส้นยาวสีเหลือง ก้านช่อดอกสั้น ดอกออกซอกใบซอกกิ่ง
ผล เป็นผลเดี่ยว ลักษณะทรงกลม ผิวเปลือกมีปุ่มขรุขระทั่วผล ก้านผลสั้น ผลดิบสีเขียว ผลสุกสีแดงเข้ม หรือสีม่วงเข้มเกือบเป็นสีดำ สีของเนื้อข้างในใกล้เคียงกับสีด้านนอกหรืออาจอ่อนกว่า เนื้อนุ่มฉ่ำน้ำ กลิ่นหอม
เมล็ด อยู่ในเนื้อตรงกลางผลเพียงเมล็ดเดียว ทรงกลม แข็ง สีน้ำตาล
รสชาติของหยางเหมย ปกติจะเป็นรสหวานผสมเปรี้ยว แต่ปัจจุบันมีการพัฒนาสายพันธุ์ให้มีรสชาดหวานมากขึ้น กินได้ทั้งผลสด หรือนำไปตากแห้ง นอกจากนั้นยังมีการนำไปแปรรูปเพื่อเก็บรักษาได้นานอีกหลายแบบทั้งดองกับเหล้าจีน ทำน้ำผลไม้ดื่ม ไอศกรีม และทำผลไม้กระป๋อง
รูปที่ 2 ต้นหยางเหมย หรือ ยัมเบอร์รี่ หรือ เอี่ยบ๊วย
ประโยชน์และสรรพคุณ
มีวิตามิน A, C, E, K, B1, B2, B3, B5, B6 และ B9 มีโปรตีน น้ำตาล ธาตุเหล็ก แคลเซียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม คาร์โบไฮเดรต เส้นใย มีพลังงาน ไขมัน โซเดียม ฟอสฟอรัส เบตาแคโรทีน และสังกะสี
ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง บำรุงผิวพรรณ มีอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงประสาท บำรุงสมอง ป้องกันโรคหัวใจ รักษาโรคความดันโลหิต ป้องกันโรคโลหิตจาง บำรุงโลหิต ลดไขมันในเลือด รักษาโรคหอบหืด หลอดลมอักเสบ วัณโรค ช่วยบำรุงสายตา รักษาตาต้อกระจก บำรุงกระดูก ฟัน แก้ท้องผูก ช่วยระบบขับถ่าย ป้องกันหวัด
การปลูกขยายพันธุ์
สามารถปลูกได้ในดินทุกชนิด ชอบดินร่วนจะเติบโตได้ดี ชอบอากาศเย็น การปลูกทำได้ด้วย วิธีใช้เมล็ดเพาะต้นพันธุ์ ทาบกิ่ง ติดตา หรือตอนกิ่ง แล้วนำมาปลูกลงในแปลง ระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 4×4 ซม.
หยางเหมยชอบดินหรือเครื่องปลูกที่มีการระบายน้ำดี น้ำไม่ขัง ชุ่มชื้น ชอบแสงแดด ในช่วงแรกของการปลูก หมั่นรดน้ำทุกวัน เมื่อต้นเติบโตขึ้น ก็ให้ลดการให้น้ำได้ ฤดูการที่เหมาะสมในการปลูกคือฤดูฝน สามารถให้ผลผลิตได้ประมาณ 2 - 3 ปี หลังปลูกลงในแปลง
ผลสุกจะมีสีแดงเข้ม หรือสีม่วง ให้ตัดออกมาทั้งขั้ว และเบามืออาจทำให้ช้ำได้ง่าย ผลหยางเหมยสุกที่เก็บได้เมื่อนำมาใส่ในภาชนะ และวางในบริเวณอากาศถ่ายเท จะเก็บไว้ได้นาน และมีรสชาติหวานหอมอร่อยยิ่งขึ้น
อ้างอิง:
vichakaset.com และ thai-thaifood.com