จิงจูฉ่าย (White mugwort / Guizhou) หรือชื่ออื่นๆเช่น โกศจุฬาลัมพา (ไทย), เซเลอรี หรือ Celery (ต่างชาติ) เป็นพืชล้มลุก ถิ่นกำเนิดจากประเทศจีน มีฤทธิ์เย็น ให้รสชาติขมเล็กน้อย และมีกลิ่นหอม เมื่อถูกความร้อนกลิ่นยิ่งจะหอมมากขึ้น คนจีนนิยมนำมาปรุงอาหารในช่วงหน้าหนาว เพราะเชื่อว่าจิงจูฉ่ายจะช่วยปรับความสมดุลให้กับร่างกายได้ แต่สำหรับคนไทยจะมานำมาปรุงอาหารเพื่อดับกลิ่นคาว ส่วนชาวต่างชาติจะนิยมนำมาวางตกแต่งจานอาหารเพื่อเพิ่มความสวยงาม
จิงจูฉ่าย เป็นพืชที่มีลักษณะเป็นพุ่มเล็กๆ สูงประมาณ 15-30 ซ.ม. ใบเป็นรูปวงรี มีขอบเป็นแฉก 5 แฉก สีเขียว ตัวใบมีเนื้อหนาเหมือนผักคื่นฉ่าย (หรือขึ้นฉ่าย) เมื่อโตเต็มที่จะแตกกิ่งออกเป็นกอ คล้ายใบบัวบก รากมีขนาดใหญ่ และมีกลิ่นหอม
จิงจู่ฉ่ายเป็นพืชสมุนไพรดีๆที่ควรมีปลูกติดบ้านไว้ ปลูกง่าย โตเร็ว ขยายพันธุ์ได้ไม่ยาก เป็นพืชที่ปลูกได้นานต่อเนื่องเช่นเดียวกับพืชอื่นๆอีกหลายชนิด เช่น ชะอม (ไม่ต้องเริ่มปลูกใหม่เป็นรอบๆเหมือนพืชบางชนิดเช่น คะน้า) ขยายพันธุ์ได้ด้วยเมล็ด และการปักชำ
ประโยชน์ใช้ใบเป็นส่วนประกอบอาหารได้หลายอย่างเช่น ใส่ในต้มเลือดหมู ข้าวต้มทรงเครื่อง ไก่ผัดขิง หรืออาจนำใบไปใช้ในการผัดก็ได้แต่อาจต้องใช้ใบเป็นจำนวนมากจึงไม่ค่อยนิยมเท่าใดนัก
จิงจูฉ่ายมีสรรพคุณในการแก้ไข้ บำรุงปอด ขับลมในกระเพาะอาหารและลำไส้ ช่วยปรับสมดุลความดันโลหิต ป้องกันและรักษาโรคมะเร็งได้
วิธีที่ 1 : ใช้การแยกแขนง และปักชำจิงจูฉ่าย
(1) จากต้นพ่อ-แม่พันธุ์ (ต้นที่มีการเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว จะมีการแตกแขนงที่โคนต้นเพื่อพร้อมที่จะขยายพันธุ์) เราจะใช้กรรไกรหรือตัทเตอร์ขนาดใหญ่ ตัดแยกแขนงจากโคนต้นออกมา
(2) ดินปลูกที่แนะนำ เป็นส่วนผสมของแกลบดำ 5 ส่วน และดิน 1 ส่วน นำไปใส่ในถุงดำขนาดพอสมควร
(3) นำแขนงจิงจูฉ่ายที่แยกมาปักลงดินปลูก แนะนำให้ใช้ปลายกรรไกรหรือตะเกียบหรืออาจใช้ไม้เสียบลูกชิ้นเจาะร่องที่ดินปลูกเป็นการนำร่องก่อน(เพื่อมิให้แขนงที่เสียบลงดินปลูกบอบช้ำ) ลึกประมาณ 2-3 ซ.ม. แล้วค่อยๆเสียบแขนงจิงจูฉ่ายลงไป กดดินรอบๆแขนงที่ปักลงในดินปลูกให้แน่นพอประมาณ และสเปรย์น้ำให้ดินชุ่มชื้น
(4) ปกติแขนงจิงจูฉ่ายที่เสียบลงดินปลูกจะเกิดอาการสลบ เหี่ยวปลายยอดตก ประมาณ 1 สัปดาห์ (ไม่ต้องตกใจ)
(5) จากนั้นอีกประมาณ 1-2 สัปดาห์ (7-15 วัน) แขนงก็จะเริ่มฟื้นตัวได้เองตามธรรมชาติ ให้หมั่นดูแลรักษาต้นอ่อน ให้น้ำบ้าง และตั้งในที่แดดรำไร ไม่ให้ถูกแสงแดดโดยตรง(ใบจะไหม้ได้ง่ายและเหี่ยวเฉาตาย)
(6) ต่อไปอีกประมาณ 6-8 สัปดาห์ (45-60 วัน) แขนงต้นจิงจูฉ่ายที่แยกปลูกใหม่ก็จะเป็นต้นพ่อ-แม่พันธุ์ที่เติบโตเต็มที่ มีแขนงใหม่เกิดขึ้นมา พร้อมขยายพันธ์ต่อไป ในช่วงนี้เหมาะที่จะตัดใบยอดไปรับประทานได้
วิธีที่ 2 : ใช้การตัดกิ่งและปักชำ
(1) ดินปลูกที่ต้องเตรียมใส่ถุงดำก่อนการปักชำ ประกอบด้วย แกลบดิบ : แกลบดำ : ดินร่วน : ปุ๋ยไส้เดือน อย่างละ 1 ส่วน
(2) นำต้นพ่อ-แม่พันธุ์ที่เติบโตเต็มที่ มีขนาดสูงใหญ่ มีกิ่งก้านแตกออกมาจำนวนมากแล้ว พร้อมนำไปตัดเพื่อปักชำได้
(3) เลือกกิ่งที่มีขนาดใหญ่ (ไม่ใช่กิ่งที่เป็นก้านใบ) มีตาอ่อนๆหรือข้อใบ ให้ใช้กรรไกรหรือคัทเตอร์ขนาดใหญ่ตัดบริเวณเหนือขึ้นมาเล็กน้อย ประมาณ 1-2 ซ.ม. ส่วนต้นพ่อ-แม่พันธุ์ที่เหลือ เมื่อปล่อยทิ้งไว้ระยะหนึ่งก็สามารถแตกใบใหม่ได้อีก
(4) เตรียมปักชำ โดยนำกิ่งที่ตัดออกมา วัดจากปลายส่วนที่ตัดขึ้นมาทางยอดประมาณ 10 ซ.ม. ใช้กรรไกรตัดเหนือข้อใบเล็กน้อย ซึ่งเป็นส่วนที่จะแตกใบอ่อนออกมาได้ ริดใบอ่อนที่โคน(ในส่วนที่เราจะปักลงดินออกเหลือส่วนปลายยอดไว้
(5) ด้านโคนกิ่ง ให้ตัดเฉลียงเป็นปากฉลาม (เพื่อให้ปักชำลงดินได้ง่ายและยังช่วยเพิ่มพื้นที่ในการแตกรากได้อีกด้วย)
(6) ปักลงดินปลูกลึกพอให้กิ่งตั้งทรงได้ จัดรูปทรงให้เข้าที่ กดดินกดดินรอบๆแขนงที่ปักลงในดินปลูกให้แน่นเล็กน้อย และสเปรย์น้ำให้ดินชุ่มชื้น เช้า-เย็น
(7) ปกติประมาณ 2-3 สัปดาห์ จะเริ่มแตกกิ่งแขนงออกมาใหม่
(8) อดใจรออีกสักนิด ประมาณ 1 เดือนต้นจิงจูฉ่ายก็เติบโตเต็มที่แล้ว พร้อมนำไปขยายพันธุ์แตกกกลุ่มใหม่ได้