แดนดิไลออน (Dandelion)
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Taraxacum offininale
วงศ์ : Asteraceae
แดนดิไลออน เป็นไม้ล้มลุกประเภทวัชชพืชชนิดหนึ่งที่ขึ้นได้ทั่วไป ลำต้นประมาณ 6-10 นิ้ว ขึ้นได้ตลอดปี พบได้ทั้งในยุโรป เอเชีย และอเมริกาเหนือ ลำต้นของแดนดิไลออนสั้น มีใบออกจากโคนลำต้นเป็นกระจุกแต่ละใบเว้าเป็นแฉกแหลม มีดอกสีเหลือง เมื่อดอกร่วงจะกลายเป็นเมล็ดติดอยู่ที่ฐานดอกเป็นปุยสีขาวกลม
ในวงการแพทย์ มีการนำสารสกัดจากรากของแดนดิไลออน มาใช้เป็นวิธีการปรับปรุงความอยากอาหาร นอกจากนี้การทดลองที่ผ่านมาได้รับการยืนยันความสามารถของดอกแดนดิเลี่ยน บล็อกบาซิลลัสสืบพันธุ์ตุ่มไวรัสบางชนิดปรสิต และบางกลุ่มของเซลล์มะเร็ง
สรรพคุณของแดนดิไลออน
– ช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือดได้ โดยรากแดนดิไลออนจะมีสารอินนูลิน ซึ่งจะดูดซับน้ำและน้ำตาล จนมีลักษณะเป็นเจล ทำให้ร่างกายดูดซึมน้ำตาลได้ช้าและน้อยลง
– มีสารไกลไซด์ที่มีรสขมชื่อว่า ทาราซาซิน (Taraxacin) และอินูลิน (Inulin) ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหาร ช่วยกระตุ้นการหลั่งน้ำดี การหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร และการหลั่งน้ำลาย ใช้ในการบรรเทาอาการอาหารไม่ย่อย และช่วยเพื่อเพิ่มความอยากอาหาร
– ลดการอักเสบในร่างกายจากสารต้านอนุมูลอิสระที่ชื่อว่า ลูทีโอลิน(Luteolin) คือ Flavonoidพบมากในพืชหลายชนิด
– ล้างสารพิษในตับและไต
คำแนะนำการเพาะเมล็ด
1. เตรียมกระถางหรือพาชนะเพาะ ดินปลูก (อาจเป็นดินถุงสำเร็จที่มีการระบายน้ำได้ดี ทั้งนี้ควรเพาะลงกระถางที่จะปลูกเลยจะได้ไม่ต้องย้ายต้นกล้าเนื่องจากมีรากเป็นปม) และฟ็อกกี้สเปรย์น้ำ
2. โรยเมล็ดพันธุ์ลงบนดินปลูก และกลบหน้าดินบางๆ (ประมาณ 1/8 นิ้ว เมล็ดพันธุ์ต้องการแสงในการงอก) แต่ละเมล็ดห่างกันประมาณ 1 นิ้ว สเปรย์น้ำให้ชุ่ม ปกติใช้เวลางอกประมาณ 7 – 12 วัน
3. เมื่อต้นกล้าสูงประมาณ 4 – 6 นิ้ว ควรดึงถอนต้นกล้าที่มีขนาดเล็กกว่าออกเพื่อความสมบูรณ์ของต้นกล้าที่เหลือ
4. ระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 12 นิ้ว
5. การปลูกเลี้ยง ต้องการแสงแดดปานกลาง - มาก (หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด) เติบโตได้ในดินทั่วๆไป แต่ถ้าเป็นดินร่วน มีความสมบูรณ์ และมีความชุ่มชื้นตลอดเวลา จะทำให้ได้ต้นที่มีรากขนาดใหญ่
หน้าที่เข้าชม | 3,287,275 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 2,326,593 ครั้ง |
เปิดร้าน | 12 พ.ย. 2560 |
ร้านค้าอัพเดท | 20 ต.ค. 2568 |